ความเครียดทางอารมณ์อาจทำให้นักข่าวเสียสมาธิระหว่างการทำงานภาคสนามและส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของงานได้ บทความนี้ซึ่งอ้างอิงจากอินโฟกราฟิกโดย Eutelmed ซึ่งเป็นผู้ให้บริการปรึกษาทางการแพทย์ออนไลน์ จะอธิบายแนวทางที่นักข่าวสามารถใช้เพื่อดูแลสุขภาพจิตของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพระหว่างการปฏิบัติงาน ในการรายงานข่าวในพื้นที่จริง นักข่าวต้องใช้สมาธิจดจ่อต่อสิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากการรายงานเหตุการณ์เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งหรือการชุมนุมประท้วง โดยนักข่าวจะต้องมีสติระมัดระวังต่อสิ่งรอบตัวและปฏิบัติตามขั้นตอนด้านความปลอดภัยอยู่เสมอ อย่างไรก็ดี ความเครียดทางอารมณ์ที่เกิดจากงาน สภาพแวดล้อม หรือเนื้อหาของข่าว อาจทำให้นักข่าวไม่สามารถมีสมาธิจดจ่อต่อสิ่งที่สำคัญได้ นักข่าวบางคนอาจแสดงปฏิกิริยาที่บ่งชี้ถึงภาวะสะเทือนใจภายหลังจากประสบเหตุการณ์ที่ตึงเครียดสูง ดังนั้น การประเมินตนเอง และ การดูแลตนเอง จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดสองประการที่ช่วยให้นักข่าวสามารถรับมือกับความเครียดและภาวะสะเทือนใจที่เกิดจากการทำงานได้ ก่อนภารกิจ ประเมินสภาพอารมณ์และระดับความเครียดของตนเอง พิจารณาว่าช่วงที่ผ่านมาได้เผชิญเหตุการณ์ที่ตึงเครียดสูงหรือไม่ และตรวจสอบว่าตนพร้อมจะทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความตึงเครียดสูงหรือไม่ กำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และแนวทางของการรายงานข่าวล่วงหน้า ศึกษาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่ตนจะเข้าไปทำงาน เช่น ตำแหน่งที่ควรยืน พฤติกรรมที่เหมาะสม กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เตรียมขั้นตอนด้านความปลอดภัยและวิธีการติดต่อกับทีมงาน เตรียมความพร้อมทางร่างกายของตนเอง โดยรับประทานอาหารให้ครบมื้อ ดื่มน้ำมาก ๆ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเริ่มภารกิจ ระหว่างภารกิจ การเตรียมตัวอย่างรอบคอบล่วงหน้าจะช่วยให้นักข่าวสามารถจดจ่อกับสภาพแวดล้อมรอบตัวและปรับตัวตามความจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรบกวนจากอารมณ์ด้านลบ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใกล้เหตุการณ์ความรุนแรงหรือความวุ่นวาย ควรนึกถึงภาพรวมของสถานการณ์เอาไว้ และไม่จดจ่อกับรายละเอียดมากเกินไป เพราะจะทำให้ขอบเขตของข้อมูลที่เก็บได้แคบลงและเพิ่มความเครียดให้กับตนเอง ประเมินตนเองอยู่เสมอตลอดเวลาการทำภารกิจ หากเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า […]
สุขภาพจิต
สัญญาณและการรับมือกับภาวะสะเทือนใจหลังเหตุการณ์รุนแรง
นักข่าวอาจต้องเผชิญภาวะสะเทือนใจระหว่างการทำงาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายในระยะยาว นักข่าวจึงควรทำความเข้าใจสัญญาณของภาวะเหล่านี้ เพื่อให้สามารถรับมือและดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม นักข่าวต้องพบเห็นภัยพิบัติ ความทุกข์ทรมาน และความรุนแรงในระหว่างการทำงาน พวกเขาได้ยินเรื่องราวและเห็นภาพที่อาจสร้างความสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังต้องเผชิญความเสี่ยงต่อความปลอดภัยและเสรีภาพของตนเองในการปฏิบัติหน้าที่ ประสบการณ์เหล่านี้อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาทางจิตใจหรือทางร่างกายได้หลากหลายรูปแบบในเวลาต่อมา ซึ่งอาจจะเป็นวันหรือเป็นเดือนหลังจากเหตุการณ์นั้น ๆ โดยอาการและความรุนแรงอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ปฏิกิริยาระยะสั้นต่อภาวะสะเทือนใจ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังจากเผชิญเหตุการณ์รุนแรง เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกตัวสั่น เวียนศีรษะ หรือคลื่นไส้ คุณอาจอยู่ในภาวะช็อกหรือสับสน หรือมีภาวะความจำเสื่อมชั่วคราวจนไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ได้อย่างชัดเจน ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงแรกนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาความปลอดภัยของตนเอง ระหว่างอยู่ในภาวะ “สู้หรือหนี” (fight-or-flight) นี้ คุณควรพยายามตั้งสติและปฏิบัติตามขั้นตอนด้านความปลอดภัย เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ปลอดภัยขึ้นแล้ว คุณควรให้การปฐมพยาบาลทางจิตใจ และดูแลความต้องการพื้นฐาน ได้แก่ อาหาร น้ำ การพักผ่อน ความปลอดภัย และการได้รับการสนับสนุนทางสังคม พยายามติดต่อผู้ที่ไว้ใจได้และเปิดใจรับความช่วยเหลือ เพื่อแบ่งเบาภาระทั้งทางร่างกายและจิตใจของตนเอง ปฏิกิริยาระยะยาวต่อภาวะสะเทือนใจ แม้ว่าปฏิกิริยาความเครียดในระยะแรกมักจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่คุณอาจคงพบอาการสะเทือนใจในระยะยาวได้ ภาวะเครียดเฉียบพลัน […]
จะทำอย่างไรเมื่อเผชิญกับการโจมตีทางออนไลน์
การโจมตีทางออนไลน์ที่มุ่งทำลายชื่อเสียงนักข่าวอาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือและอาชีพของนักข่าวได้อย่างร้ายแรง ในบทความนี้ องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) ขอนำเสนอแนวทางเพื่อให้นักข่าวสามารถปกป้องตนเองได้ ชื่อเสียงของนักข่าวถือเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด การโจมตีทางออนไลน์ ซึ่งหมายถึงการเผยแพร่ข้อมูลเท็จหรือชวนเข้าใจผิดเกี่ยวกับบุคคลหนึ่ง อาจทำลายความน่าเชื่อถือที่สังคมมีต่อนักข่าวได้อย่างรุนแรง เมื่อมีนักข่าวตกเป็นเป้าของการโจมตีทางออนไลน์ RSF แนะนำให้นักข่าวปกป้องตนเองโดยการปฏิบัติตาม 4 ขั้นตอนต่อไปนี้ บันทึกและรายงาน นักข่าวควรบันทึกหลักฐานการโจมตีหรือการใส่ร้าย โดยเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ในอุปกรณ์อย่างเป็นระบบ และรายงานกรณีที่เกิดขึ้นต่อแพลตฟอร์มหลัก เช่น เครือข่ายสังคมออนไลน์หรือเสิร์ชเอนจิน แพลตฟอร์มเหล่านี้อาจดำเนินการลบบัญชีของผู้โจมตีหรือปิดกั้นการเข้าถึงบัญชีดังกล่าว ก่อนทำการรายงาน นักข่าวควรตรวจสอบด้วยว่าการกระทำดังกล่าวละเมิดสิทธิของตนตามกฎหมายหรือไม่ การชี้ให้เห็นประเด็นนี้ในการรายงานการโจมตี อาจช่วยสนับสนุนการดำเนินคดีทางกฎหมายในอนาคตไ ประเมินผลกระทบ นักข่าวไม่ควรตื่นตระหนกเมื่อมีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับตนเองบนโลกออนไลน์ ก่อนอื่น นักข่าวควรไตร่ตรองอย่างมีสติว่าข้อมูลเหล่านั้นสร้างความเสียหายจริงหรือไม่ หากบทความไปปรากฏอยู่เพียงหน้า 10 ของเสิร์ชเอนจิน และมีคนกดถูกใจในโซเชียลมีเดียเพียงไม่กี่ครั้ง ทางเลือกที่ดีที่สุดอาจเป็นการเพิกเฉย การตอบโต้จากตัวนักข่าวเองอาจยิ่งทำให้ข้อมูลดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปกว้างขึ้น ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่คู่กรณีตั้งใจไว้แต่แรก ออกแถลงการณ์ หากข้อมูลดังกล่าวสร้างความเสียหายมากพอที่จะต้องดำเนินการ นักข่าวควรออกแถลงการณ์เพื่อตอบโต้และหักล้างด้วยข้อเท็จจริง โดยอาจไม่จำเป็นต้องเป็นแถลงการณ์สาธารณะเสมอไป การส่งแถลงการณ์ไปยังผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น เพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือสำนักข่าวที่ตนทำงานด้วยเป็นประจำ ก็อาจเพียงพอแล้ว พิจารณาดำเนินคดีทางกฎหมาย หากข้อมูลดังกล่าวเป็นเท็จโดยสิ้นเชิง ผู้เผยแพร่อาจเข้าข่ายกระทำความผิดอาญา นักข่าวควรตรวจสอบให้แน่ชัดว่าสิทธิของตนถูกละเมิดตามกฎหมายหรือไม่ […]